วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ใครคือผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการตายของอากง

แม้สังคมทั่วไปจะเรียกจำเลยว่า “อากง” ฟังดูประหนึ่งว่าจำเลยชราภาพมากแล้ว แต่ตามฟ้องจำเลยอายุ 61 ปี มิได้แก่ชราจนต้องอยู่ในความอนุบาลดูแลของผู้ใดสามารถเข้าใจและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ แสดงว่าเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์และมิได้แก่เฒ่าคราวปู่ทวด
สำหรับบุคคลที่เจนโลก โชกโชน สันดานเป็นโจรผู้ร้าย มีเจตนาทำร้ายสังคมสถาบันหลักของประเทศชาติและองค์พระประมุข อันเป็นที่เคารพสักการะของคนในชาติให้เกิดความหลงผิดก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ผู้เขียนเชื่อว่า ไม่มีใครอยากให้คนเช่นนี้ลอยนวลอยู่ในสังคมเพื่อสร้างความเสียหายต่อเนื่องหรือแก่ผู้อื่นอีก เพราะสักวันคนใกล้ตัวของคนเหล่านี้อาจตกเป็นเหยื่อด้วยก็ได้ มาตรการที่เหมาะสมจึงควรตัดโอกาสในการกระทำผิด ลงโทษให้หลาบจำสาสมไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น...”
จากบทความ "อากงปลงไม่ตก" โดย สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม (ข่าวสดออนไลน์ 14 ธันวาคม 2554)

เมื่อทราบข่าว “อากง” เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งที่โรงพยาบาลในเรือนจำเมื่อเช้านี้ ทำให้ผมต้องย้อนกลับไปอ่านบทความ “อากงปลงไม่ตก” ของ “โฆษกศาลยุติธรรม” อีกครั้ง ในโลก fb วันนี้มีแต่ความโศกเศร้ากับการจากไปของอากง และหดหู่สิ้นหวังกับ “ระบบยุติธรรมไทย”
เพราะ “อากง” ในความรับรู้ของพวกเราคือชายชราท่าทางซื่อๆ ที่มีโรคประจำตัวน่าสงสาร คือไม่ว่าจะดูบุคลิกภาพ บริบทครอบครัว หรือดูอะไร อย่างไร เราก็ไม่สามารถจะมองเห็นอากงในภาพพจน์ของ “บุคคลที่เจนโลก โชกโชน สันดานเป็นโจรผู้ร้าย” ไปได้เลย!
ยิ่งย้อนไปอ่านที่โฆษกศาลยุติธรรมระบุว่า “...คดีนี้ผ่านกระบวนการสอบสวน การกลั่นกรองจากอัยการ แล้วเปิดโอกาสให้จำเลยต่อสู้คดีในชั้นศาลอย่างเต็มที่ อันเป็นหลักการสากล และหลักกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อสู้คดีอย่างเสมอภาคเท่าเทียมและเป็นธรรม”
ยิ่งทำให้นึกถึงคำถามเก่าๆ ที่ศาลไม่เคยตอบเลย คือคำถามที่ว่า “ศาลได้พิสูจน์ให้เห็นประจักษ์พยานจนสิ้นสงสัยแล้วหรือว่า อากงเป็นผู้ส่งข้อความ 4 ข้อความ นั้นจริง?”
และยิ่งเมื่อโฆษกศาลยุติธรรมอ้าง “หลักการสากล” ยิ่งทำให้เกิดคำถามตามมาอีกมาก เช่น
1. ตามหลักการสากล มีด้วยหรือที่การกระทำผิดด้วย “ข้อความ” ต้องลงโทษจำคุกถึง 20 ปี
2. ตามหลักการสากล มีด้วยหรือที่การทำผิดด้วย “ข้อความ” โดยชายชราคนหนึ่งที่มีโรคประจำตัว (มะเร็ง) ซึ่งคดียังไม่ถึงที่สุด ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่กลับไม่ได้รับสิทธิประกันตัว แม้ภรรยาของเขาจะอดข้าวประท้วง หรือกระแสเสียงของประชาชนที่มีมโนธรรมสำนักรักความยุติธรรมจะออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องมากมายเพียงใดก็ตาม
ตามหลักการสากล ความยุติธรรมตามกฎหมายต้องไม่คำนึงถึง “มนุษยธรรม” และสิทธิมนุษยชนหรือครับ
หลักการสากลของประเทศประชาธิปไตยที่ไหนในโลกครับ ที่เขาเป็นเหมือนประเทศไทยที่ปกครองด้วย “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ซึ่งเป็นประเทศเดียวในโลกที่ประชาชนต่างอยู่เย็นเป็นสุขภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร
3. ตามหลักสากล การที่ศาลจะตัดสินคดีอาญาเอาคนเข้าคุก เขาไม่ต้องพิสูจน์ประจักษ์พยานจนสิ้นสงสัยหรือครับว่า “จำเลยเป็นผู้ลงมือกระทำความผิดจริง”
4. ตามหลักสากล ในประเทศอารยะประชาธิปไตย เขาต้องยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม ตาม “อุดมการณ์ประชาธิปไตย” ในการพิพากษาคดีไม่ใช่หรือครับ (ซึ่งหมายถึงต้องคำนึงถึงสิทธิ เสรีภาพของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด) มีประเทศอารยประชาธิปไตยที่ไหนในโลกครับที่เขายึด “อุดมการณ์กษัตริย์นิยม” ในการพิพากษาคดี
5. ที่โฆษศาลยุติธรรมเขียนว่า “สำหรับคดีนี้ มีการใช้ถ้อยคำหยาบคายแสดงความอาฆาตมาดร้าย จาบจ้วงล่วงเกินพระมหากษัตริย์และพระราชินีด้วยถ้อยคำภาษาที่ป่าเถื่อนและต่ำทรามอย่างยิ่ง เกินกว่าวิญญูชนคนทั่วไปจะพึงพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามกัน...”
ถามว่า ตามหลักการสากล มีด้วยหรือครับ การตั้งข้อหาหมิ่นประมาทที่จำเลยไม่มีสิทธิพิสูจน์ว่าข้อความที่ตนพูดนั้นๆ เป็นความจริงและเกิดประโยชน์แก่สาธารณะหรือไม่ และ
6. ตามหลักการสากล มีด้วยหรือครับที่ “โฆษกศาลยุติธรรม” จะออกมาแสดงความเห็นต่อสาธารณะในท่วงทำนองกดเหยียดทางจริยธรรมต่อจำเลยว่าเป็น “บุคคลที่เจนโลก โชกโชน สันดานเป็นโจรผู้ร้าย” อันเป็นการหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของจำเลย ทั้งที่คดียังไม่ถึงที่สุด
สังคมไทยก็พูดกันอยู่เสมอๆ นะครับว่า คนไทยส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ทรงเป็น “พุทธมามกะ” และทรง “ทศพิธราชธรรม” ประเทศเราเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญรับรองสิทธิ เสรีภาพ ของประชาชน
แต่หลักปรัชญาพุทธและหลักการประชาธิปไตยนั้นต่างยกย่อง “ความเป็นมนุษย์” ของปัจเจกบุคคลว่า เขาแต่ละคนควรมีสิทธิ เสรีภาพ ที่จะใช้เหตุผล ใช้ปัญญาของตนเองแสวงหาการมีชีวิตที่ดีส่วนตัว และร่วมกันสร้างระบบ เศรษฐกิจ สังคม การเมืองที่เป็นธรรมบนพื้นฐานของความเสมอภาค ภราดรภาพ
โดยเฉพาะผู้ทรงคุณธรรมสูงส่งตามคติของพุทธศาสนานั้น ย่อมต้องมีปัญญาเข้าใจ เคารพความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ เมตตา ให้อภัยในความผิดพลาดบกพร่องของเพื่อนมนุษย์ หากไม่ใช่การกระทำความผิดที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อชีวิต ทรัพย์สินของผู้อื่นจริงๆ พุทธศาสนาย่อมไม่เห็นด้วยกับการลงโทษทางกฎหมาย
พุทธะเองนั้นสูงส่งทางคุณธรรมกว่ากษัตริย์มาก และท่านก็แสดงแบบอย่างให้เห็นว่า การมีคุณธรรมสูงส่งกับเมตตาให้อภัยต้องเป็นของคู่กัน
ฉะนั้น ท่านจึงสอนไม่ให้ชาวพุทธโกรธต่อคำจาบจ้วง ล่วงละเมิดพระศาสดา ธรรมะ และสังฆะ ซึ่งแสดงให้เห็น “สปิริตทางศีลธรรม” ว่า พุทธะเองแม้ถูกจาบจ้วงล่วงละเมิดท่านเองก็ไม่ถือสา และกำชับว่าชาวพุทธต้องไม่โกรธผู้ที่กระทำเช่นนั้น อย่าว่าแต่จะต้องเอาผิดทางกฎหมายใดๆ เลย
ถ้าเป็นจริงอย่างที่โฆษกศาลยุติธรรมเขียนว่า “...โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมิใช่คู่กรณีที่มีความขัดแย้งสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่จำเลยแม้แต่น้อยนิดรวมทั้งพระองค์ท่านทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมืองจากมวลชนทุกหมู่เหล่าจึงไม่มีเหตุผลที่จำเลยหรือบางคนจะพยายามบิดเบือนว่า คดีนี้มาจากมูลฐานทางการเมือง ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่เป็นธรรมและห่างไกลจากความเป็นจริง” อันนี้พุทธะยิ่งไม่ให้ใส่ใจเลย เพราะถ้าที่เขาพูดนั้น “ไม่จริง” ความเท็จนั้นก็ไม่อาจทำลายความดีงามที่ “มีอยู่จริง” ได้
ยิ่งชายชราชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่งจะใช้ “ข้อความเท็จ” ทำลายความดีงามสูงส่งของ “พระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม” ให้มัวหมอง หรือเสื่อมเสียไปแม้แต่น้อยนิดนั้น ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ “ในโลกของความเป็นจริง” เลย ที่ว่าข้อความเท็จจะทำให้พระมหากษัตริย์ผู้ซึ่งในความเป็นจริงทรงเปี่ยมล้นด้วยทศพิธราชธรรมเสื่อมเสียนั้นจึงเป็นเพียง “ความเชื่อ” เท่านั้น
ฉะนั้น การลงโทษตาสีตาสาคนหนึ่งที่ทำผิดด้วย “ข้อความ” เพียง 4 ข้อความ (ด้วย “ความเชื่อ” ว่าจะทำให้พระมหากษัตริย์ พระราชินีผู้ทรงเปี่ยมล้นด้วยความดีงามอยู่แล้วเสื่อมเสีย) โดยการจำคุก 20 ปี และไม่ให้ประกันตัว จนกระทั่ง “เขาตายในคุก” นั้น ไม่ว่าจะคิดด้วยหลักพุทธศาสนา หลักประชาธิปไตย หรือคิดจาก “หัวใจ” ของ “มนุษย์” เราก็ไม่มีทางจะเข้าใจได้ว่ามัน “ยุติธรรม” อย่างไร!
คำถามที่ค้างคาใจผู้คนในสังคมที่คนส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา มีพระราชาทรงทศพิธราชธรรม ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย คือ “ใครคือผู้รับผิดชอบต่อความตายของอากง?” ทั้งในทางมโนธรรมสำนึกของ “มนุษย์” ทางศีลธรรม และรับผิดชอบโดยการร่วมกันผลักด้นให้เกิดการปฏิรูป “ระบบยุติธรรมไทย” ให้อยู่ภายใต้ “อุดมการณ์ประชาธิปไตย” อย่างแท้จริง

ข้อมูลใหม่nasa2012 วันสิ้นโลก

ทาง NASA ได้คํานวฌไวเเล้ว
- ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)

- การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ

- ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ ่อนอย่างมาก

- ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม

- สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เเละในที่สุดเราก็จะตายกันหมด

- กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใกล ้โลกได้ง่ายขึ้น

-แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

 ทางโหราศาสตร์ - บ่งบอกว่าจะเกิดการเรียงตัวกันของ โลก กาแล็คซี่ทางช้างเผือก และดวงอาทิตย์

ทางโบราณคดี - อย่างที่พูดข้างต้นไว้...เป็นวันสุดท้ายในปฏิทินของช าวมายันมีเเค่ 2012 เท่านั้น

ทางการทำนาย - นอสตราดามุสได้ทำนายไว้กับราศีตีความแล้วสอดคล้องกับ ทางโหราศาสตร์

ทางด้าน UFO - ผู้ที่ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้อ้างว่ามนุษย์ต่างดา วได้บอกเค้า(แล้วแต่ความเชื่อ...)
นอกกรอบ

ไม่ว่าจะทางใด ดูจากหลาย ๆ ทางแล้วชี้ไปในปีเดียวกัน ความเชื่อมั่นกับสิ่งที่จะเกิดในปี 2012 นั้นน่าจะมีอะไรเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ ๆ แต่ที่แน่ ๆ ในปัจจุบันผมมั่นใจว่ามันน่าจะเริ่มเกิดขึ้นแล้ว โดยสังเกตุจากผลกระทบจากภัยธรรมชาตินี่เอง เมื่อกลับมามองดูปี 2012 ก็เลยมานั่งพิจรณาดูเล่น ๆ (การนับเลขฐานสิบจะนับศูนย์ถึงเก้า) ถ้าเราตัดเลขสองออกก็จะได้เลขนับ 0->1->2 เมื่อมาดูเป็นปี พ.ศ. มันเป็นปี 2555 (เลยสวยมาก) ถ้าเราตัดเลขสองออกเช่นกัน จะได้เลข 5 เรียงตัวกัน 3 ตัวผมขอโยงไปเรื่องโหราศาตร์ที่จะมี โลก กาแล็คซี่ และดวงอาทิตย์ ที่จะเกิดการเรียงตัวกัน ผลลัพธ์นั้นคงบอกไม่ได้ อาจเกิดผลกระทบรุนแรงต่อโลกหรืออาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็ได้ เพราะสิ่งที่เราไม่รู้นั้นยังมีอีกมากมายทั้งในอวกาศและจักรวาล ยังที่บอกไวว่าดาวเเบบเราไม่ได้มีเเบบนี้ใบเดียวจริงๆมี200กว่าดวง

ข้างล่างนี้เเล้วเเต่คนจะเชื้อคับ

 1.ประกาศจากองค์การ NASA วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) วันนั้นแกนโลกของเราจะพลิกกลับขั้ว คือ ขั้วโลกเหนือจะมาอยู่ที่ขั้วโลกใต้ ช่วงเวลานั้น โลกของเราจะไม่มีสนามพลังแม่เหล็ก เพื่อป้องกันตัวเองจากสนามพลังแม่เหล็ก และ รังษีต่างๆจากอวกาศ
แล้ววัน นั้นจะเป็นวันเดียวกับที่ ดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วเช่นกัน เพราะดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วทุกๆ 11 ปี ปีล่าสุดคือปี พ.ศ. 2544 ถ้ามาถึงวันนี้ก็ 11 ปีพอดี (2544 + 11 = 2555) ขณะ ที่ดวงอาทิตย์กำลังพลิกกลับขั้วนั้น ดวงอาทิตย์จะแผ่สนามแม่เหล็ก และรังษีความร้อนสูงมายังโลก ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่โลก ไม่มีสนามแม่เหล็กป้องกันตัวเอง ผลคือ น้ำแข็งขั้วโลกละลายฉับพลัน น้ำท่วมโลกฉับพลัน ไม่มีทางหนีได้ทัน ในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)

<<<<<ภาพจําลองของ NASA
2.ชาวมายา (ชนเผ่ามายาแห่งอเมริกากลาง) ทำปฏิทินใช้เองตั้งแต่ 1,000 ปีที่แล้ว ชนเผ่ามายานี้มีความสามารถในการคำนวนการโคจร การเกิดดับของดวงดาวอย่างไม่น่าเชื่อ คือเขาสามารถคำนวนว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์โดยใช้เวลา 365 วัน ตั้งแต่ 1,000 ปีที่แล้ว ซึ่งตรงกับปฏิทินที่ชาวโลกปัจจุบันใช้กัน แล้วยังสามารถคำนวนเกี่ยวกับระบบสุริยะจักรวาลได้อย่างแม่นยำมาก
ชาว มายายังกำหนดวันสุดท้ายของปฏิทินของพวกเขาคือ วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) พวกเขาบอกด้วยว่า วันนั้นโลกจะถึงจุดสิ้นสุด (โดยบอกไว้เมื่อ 1,000 กว่าปีที่แล้ว) น่าแปลกมาก ทำไมมาตรงกับองค์การ NASA อ่ะ

3. นาย Gordon-Michael Scallion เป็นผู้หยั่งรู้อนาคต (futurist) มีญาณทัศนะ(Spiritual Visionary) คือมองเห็นอนาคตด้วยญาณ มีความแม่นยำมาก เขาได้ทำนายว่า น้ำกำลังจะท่วมโลก จนหลายประเทศหายไปจากแผนที่ ประเทศที่เป็นเกาะจะจมน้ำทั้งหมด ประชากรโลกที่รอดตายมีเพียง 10% เท่านั้น เขาเชื่อว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในระหว่างปี 1998-2012 (พ.ศ.2541-พ.ศ.2555) และเขาได้สร้างแผนที่โลกใหม่หลังน้ำท่วมครั้งใหญ่ ภายใต้ชื่อ Future Map Of The World ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1978 (พ.ศ. 2521) ซึ่งประเทศไทยเหลือแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น

 
ทําไมหน้ากลัวยังงี้นะ
ทำไมจึงไม่เป็นข่าวใหญ่โตหลายคนคงสงสัยผมได้ข้อมูลมาคับ
หลายคนสงสัยว่าทำไมไม่มีข่าวออกทาง TV
เค้าประกาศเป็นข่าวใหญ่ทั่วโลกมาหลายปีแล้วคับ ถ้าอยากจะอ่านย้อนหลัง
ให้เข้า Google พิมพ์ว่า องค์การ NASA แกนโลกพลิก 2012
หรือถ้าชอบอ่านภาษาอังกฤษให้พิมพ์ว่า Pole Shift NASA 2012

ถ้าคิดว่า อะไรที่เป็นข่าวจะต้องออก TV ล่ะก็นะ
พี่ๆคงเข้าใจผิดอ่ะคับ เพราะ TV เมืองไทยเค้าเซ็นเซอร์ เค้าไม่ได้ให้ออกทุกอย่างหรอก
ข่าวบางอย่าง ประเทศอื่นเป็นข่าว แต่ในไทยไม่ออกข่าว มีมากมาย เพราะมีญาติอยู่ที่อเมริกา
TV เมืองไทย ไม่ได้เสรีอย่าง อเมริกา

ถ้าจะดูข่าวแบบไม่เซ็นเซอร์ ขอแนะนำให้ดูทาง เคเบิ้ล TV
หรือติดจานดาวเทียม หรือ ตามข่าวจาก Internet เพราะสื่อแบบหลังๆนี้ ไม่มีการเซ็นเซอร์เนื้อหา มาแบบเต็มๆคับ
หลายๆคนเค้าเลิกดู TV เมืองไทยแล้ว งี่เง่า ห่วยแตก ปัญญาอ่อน แหะๆ ดูแล้วหงุดหงิดอ่ะคับ

เรื่องแกนโลกพลิกเนี่ย เป็นข่าวใหญ่ในอเมริกา และ ยุโรป เมื่อหลายปีก่อนแล้ว
แต่เมืองไทยกลับไม่มีข่าว สงสารคนไทยจริงๆคับ ดีนะยังมี Internet

เพราะถึงแม้ว่าคนทั่วไปจะรับรู้ทุกๆคน ก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย
แม้แต่องค์การ NASA เอง ก็ไม่มีทางแก้ไขอะไรเลย เพราะนี่คือมหันตภัยที่ใหญ่หลวงที่สุด เท่าที่มนุษย์เคยพบมา
ไม่มีทางแก้ไขอะไรได้ ทางรอดมีทางเดียว อพยพผู้คนไปดาวดวงอื่นคับ ซึ่งในทางปฏิบัติ น่าจะเป็นไปได้เพราะ NASAต้องหาทางออกได้เเน่

อากง

ในวาระครบรอบ 1 เดือน (8 พ.ค.) การเสียชีวิตของนายอำพล หรือ อากง ‘ประชาไท’ ขอนำเสนอจดหมาย 2 ฉบับ ฉบับแรกเป็นของนักโทษคดีเดียวกันผู้คอยดูแลอากงมาแต่วันแรกของการอยู่ในเรือนจำ เขาเขียนเพื่อไว้อาลัยและต้องการให้โลกภายนอกได้รับรู้ลำดับอาการของชายชราผู้นี้ รวมทั้งนิสัยใจคอและความเป็นอยู่ที่ผ่านมา แม้จะสุ่มเสี่ยงและไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะส่งเรื่องราวเหล่านี้ออกมา
อีกฉบับหนึ่งเป็นของอดีตผู้ต้องขังคดีการเมือง ซึ่งพ้นโทษออกมาแล้วและเคยอยู่แดนเดียวกับอากง เขาสะท้อนถึงความยากลำบากในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลในเรือนจำของผู้ต้องขัง

 ---------------------------------
 หนุ่มแดงนนท์                          
8 พฤษภาคม 2555

“อำพล ตั้งนพกุล, อำพล ตั้งนพกุล ติดต่อที่ทำการแดนครับ ปล่อยตัว!!” เสียงประกาศผ่านไมค์ดังก้องไปทั่วแดน 8 ผมร้องขอให้เพื่อนช่วยประกาศให้เพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณของอากงให้เป็นอิสระ ท่ามกลางความแปลกใจ ตกใจ กับการจากไปอย่างกะทันหันของชายชราคนหนึ่ง ที่พวกเขาเห็นอยู่ทุกวัน ผม หมี สุริยันต์ ไมตี้ วุฒิชัย สายชล ทองสุข รวมถึงเพื่อนๆ ของอากง เดินเกาะกลุ่มกันไปยังประตูทางออกแดน 8 ที่เป็นประตูลูกกรงหนาแน่นบานใหญ่สูงตระหง่าน เราเปิดประตูทางออกแดนอย่างช้าๆ และต่างคนต่างกล่าวคำล่ำลากันให้กับอากง “บ๊ายบายนะอาเจ็ก ค่อยๆ เดินนะ เขาให้เจ็กกลับบ้านแล้ว ป้าอุ๊คอยอยู่ตรงโน้น เจ็กไปหาเขานะ !!” ผมกล่าวออกมาเหมือนเป็นการลาครั้งสุดท้ายในความว่างเปล่า และจินตนาการไปว่า เห็นอากงค่อยๆ เดินอย่างช้าๆ ไปทางประตู 4 ที่เป็นทางออกเรือนจำ
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้อากงจากพวกเราไปเร็วขนาดนี้นะ เมื่ออาทิตย์ก่อนพวกเรายังใช้ชีวิตด้วยกันอยู่เลย นี่คือคำถามที่ผมอยากรู้มากๆ ในตอนนั้น มันไม่น่าเกิดขึ้นได้เลย มันไม่ควรเกิดขึ้นเลยจริงๆ

ลำดับเหตุการณ์ อาการป่วย ก่อนถึงวันจากไป

ผมกับอากงและเพื่อนๆ มักจะชวนกันออกกำลังกายด้วยกันทุกเช้า ผมกับอากงเราจะแกว่งมือด้วยกัน วันละประมาณ 15-30 นาที ก่อนกินข้าวเช้า ราวๆ ต้นเดือนเมษายน อากงมาบ่นให้ผมฟังว่าแกปวดท้องน้อยบริเวณเหนือสะดือ ค่อนไปทางซ้ายหรือขวาผมจำไม่ได้ ผมเลยคิดว่าอาการน่าจะปวดกล้ามเนื้อท้องเนื่องมาจากการออกกำลังกาย ผมจึงบอกให้อากงหยุดแกว่งแขวนไปก่อนจนกว่าจะหายปวด เพราะก่อนหน้านี้ราวๆ เดือนมกราคม ก็เคยมีอาการแบบนี้ หยุดแกว่งแขนก็หาย ครั้งนี้ก็คงเหมือนกับครั้งก่อนละมั้ง อากงจึงหยุดแกว่งแขนเพื่อรอดูอาการตั้งแต่วันนั้น
1 สัปดาห์ผ่านไป อากงยังคงมีอาการเจ็บอยู่ ผมจึงให้แกทำเรื่องออกสถานพยาบาลภายในเรือนจำ (พบ.) ในวันจันทร์, 23 เมษายน แต่วันนี้อากงไม่ได้รับการตรวจ เพราะช่วงเช้าทางสมาคมทนายความมาขอพบ และป้าอุ๊มาเยี่ยมพอดี จึงทำให้ต้องเลื่อนไปในวันถัดไป
อังคาร, 24 เมษายน อากงออก พบ.แต่เช้า แต่ไม่ได้รับการตรวจใดๆ อากงบอกว่า เขาถามว่าเป็นอะไร อากงก็ตอบว่าปวดท้อง พวกเขาก็บอกกลับได้ แล้วจะจัดยาไปให้ วันนั้นอากงก็กลับมาที่แดนและได้รับยา 1 ชุดในตอนเย็น ผมไม่แน่ใจว่าเป็นยาอะไร แต่บอกว่าให้ลองกินดู ไม่หายค่อยทำเรื่องออกไปใหม่ ระยะนี้อากงก็มีลักษณะภายนอกเหมือนปกติทุกวัน กินข้าวได้ เดินเหินได้ปกติ
หลังจากกินยาชุดนี้ได้ 3-4 วัน อาการก็ยังไม่ดีขึ้น ยังคงเจ็บท้องอยู่ และมีอาการท้องใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย และกดดูแล้วก็แข็ง เนื่องจากอากงเป็นคนมีพุงอยู่แล้ว เลยไม่มีใครคิดว่าเป็นอาการผิดปกติ ผมจึงทำเรื่องให้อากงออกไป พบ.อีกครั้ง ในวัน จันทร์,30 เมษายน อากงเล่าให้ฟังหลังจากกลับมาจาก พบ.ว่า วันนี้พวกเขาก็ทำเหมือนเดิม คือ ถามว่าเป็นอะไร แล้วก็ไล่กลับ แต่ครั้งนี้อากงทนไม่ไหวจึงโวยวายออกไปว่า “ตรวจอั๊วด้วยสิ อั๊วเจ็บท้องหลายวันแล้ว กินยาก็ไม่หาย ไม่ตรวจดูจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นอะไร !!” จึงทำให้อากงได้รับการตรวจ และเย็นนั้นจึงได้ยามาอีก 1 ชุด
หลังจากกินยาชุดที่สองนี้แล้ว อาการเจ็บท้องก็ยังไม่หาย และท้องก็ใหญ่ขึ้น ตึงขึ้น และแข็งมาก จนพี่สมยศทักอากงว่าเป็นอาการเกี่ยวกับตับหรือเปล่า? เพราะพี่สมยศเคยมีประสบการณ์กับโรคตับมาก่อน เมื่อได้ฟังเช่นนี้แล้ว อากงจึงเกิดอาการวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด จนอากงร้องไห้กับผมแล้วบอกว่า “ทำไมไม่หายซักที ผมแย่แล้ว ให้ผมตายเหอะ !!” พูดอยู่หลายครั้ง ผมจึงได้ปลอบใจว่าอากงไม่เป็นไรหรอกน่า เดี๋ยวอาทิตย์นี้ก็ไปโรงพยาบาลราชทัณฑ์แล้ว อดทนอีกหน่อยเถอะนะ พร้อมทั้งให้กำลังใจแกเหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะข่าวการช่วยแร่งรัดขออภัยโทษให้แก และเพื่อนๆ คดี 112 ทั้งหมดที่ทางคุณอานนท์มาแจ้งให้เราทราบในวัน พุธ, 2 พฤษภาคม ในวันนี้คุณอานนท์ยังทักว่าอากงดูไม่ค่อยดี ผมจึงขอให้คุณอานนท์ช่วยแจ้งอาจารย์หวาน ช่วยประสานให้อากงออกโรงพยาบาลราชทัณฑ์ (รพ.รท) โดยด่วน คุณอานนท์รับปากและได้ช่วยประสานงานให้ โดยเราเชื่อว่าที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์จะมีหมอเก่งๆ ช่วยรักษาให้อากงหายเจ็บได้
พฤหัส, 3 พฤษภาคม อากงเริ่มมีอาการทรุดลงอย่างเห็นได้ชัด และปฏิเสธโจ๊กที่พวกราสั่งซื้อให้แกกินอยู่ทุกวัน ผมจึงให้แกกินนมไวตามิลค์ เพื่อให้แกกินยา จากนั้นแกก็นอน อากาศเวลานั้นร้อนมากๆ ผมทายาหม่องให้แกที่หน้าอก หลัง คอ เพื่อให้หายใจสะดวก และคอยพัดให้แกอยู่เรื่อยๆ แกนอนรอป้าอุ๊มาเยี่ยมอย่างเช่นทุกวัน แต่วันนี้แปลกตรงที่ว่า พอมีเสียงประกาศเยี่ยมญาติของอากง ทุกทีแกจะรีบกุลีกุจอแทบจะวิ่งไปรับใบเยี่ยมญาติ แต่ครั้งนี้เราต้องพยุงแกขึ้นมา อากงหันมามองหน้าผม ทำเหมือนจะร้องไห้แล้วพูดว่า “หนุ่มไปด้วยนะ ไปกับผมด้วย ผมเดินไม่ไหว” ผมไม่เคยได้ยินคำพูดและน้ำเสียงแบบนี้ของแกมาก่อนตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาเกือบ 2 ปี ผมจึงขออนุญาตเจ้าหน้าที่ออกไปส่งแกที่จุดเยี่ยมญาติเพื่อพาแกมาหาป้าอุ๊ และผมได้กำชับแกโดยเขียนลงกระดาษให้แกบอกป้าอุ๊ว่าให้โทรบอกอาจารย์หวานเรื่องการส่งอากงไปโรงพยาบาลอีกครั้ง รวมถึงให้ป้าอุ๊ซื้อนมเปรี้ยวและผลไม้ที่ย่อยง่ายๆ ให้ด้วย เพราะอากงจะได้กินในช่วงที่ป่วยอยู่นี้
เยี่ยมเสร็จผมกับอากงได้เจอป้าอุ๊ไกลๆ ที่ช่องรับของฝาก ผมทำสัญลักษณ์มือที่กางนิ้วก้อยกับนิ้วโป้งและยกขึ้นข้างหู ให้ป้าอุ๊กับป้าน้อย (ภรรยาอาจารย์สุรชัย) เพื่อส่งภาษาใบ้ว่าอย่าลืมโทร (หาอาจารย์หวาน) ด้วยนะ ป้าอุ๊ก็พยักหน้าเข้าใจ แล้วผมก็ชี้นิ้วไปที่อากง แล้วโบกมือไปมาแทนความหมายว่า ไม่ต้องเป็นห่วง (อากง) นะ จากนั้นเราก็เดินกลับแดน
ใครจะรู้ว่าการพบกันในวันนั้นของอากงกับป้าอุ๊ จะเป็นการพบกันเป็นครั้งสุดท้ายของสามีภรรยาคู่นี้ที่ต่างเฝ้าประคับประคองจิตใจกันมาอย่างยาวนาน
เช้าวันศุกร์, 4 พฤษภาคม หลังจากอาบน้ำตอนเช้าด้วยกันแล้ว อากงก็หลบไปนอนในโรงอาหารอีก และไม่ยอมกินโจ๊กเหมือนเมื่อวาน ผมจึงปล่อยแกนอน โดยเตรียมนมไวตามิลค์ไวให้ วันนี้มีประกาศชื่ออากงให้ออกโรงพยาบาลราชทัณฑ์แต่เช้า ผมจึงดีใจเพราะวันนี้อากงจะได้ออกไปหาหมอเสียที เสียงประกาศชื่ออากงอีกครั้งเวลา 9.00 น. ผมปลุกแกให้ตื่นเพื่อให้แกกินนม และใส่เสื้อเพื่อเตรียมตัวไปโรงพยาบาล อากงกินได้ไม่ถึงครึ่งกล่องก็บอกว่ากินไม่ลงแล้ว ผมจึงพยุงแกลงมาจากโรงอาหาร ตอนนี้ผมสังเกตเห็นดวงตาของแกค่อนข้างเหลืองมาก ท้องก็ยังโตและแข็งอยู่เหมือนเดิม ผมขอให้อากงนั่งรถเข็นออกไปเพราะแกเดินไม่ไหวแล้ว อากงถูกเข็นออกไปอย่างช้าๆ และนี่เป็นภาพสุดท้ายที่ผมได้เห็นอากง โดยไม่เคยคิดว่าการจากกันครั้งนี้จะเป็นการจากกันตลอดไปโดยไม่ได้พบกันอีกเลย
ชายชราผู้ไม่จงรักภักดี ?
จากการพูดคุยกันตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมยืนยันได้เลยว่าอากงไม่ใช่ทั้งเหลืองทั้งแดง ไม่สลิ่มด้วย แกเล่าให้ผมฟังว่าแกชอบไปตามงานชุมนุมต่างๆ เพราะสนุกดี และบางครั้งก็มีของให้กินฟรีๆ ด้วย แกเริ่มไปงานชุมนุมครั้งแรกก็คือชุมนุมพันธมิตร ที่แกยังได้รับแจกเสื้อเหลืองพร้อมลายเซ็นจำลอง ศรีเมือง ติดไม้ติดมืดกลับบ้านด้วย หลังจากนั้นก็ไปงานชุมนุมของเสื้อแดงที่แกก็ได้เสื้อแดง ผ้าโพกหัวกลับบ้านมา โดยไม่ต้องเสียเงินเช่นกัน อากงมักจะใช้เวลาหลังจากรับหลานๆ กลับจากโรงเรียน แล้วช่วยงานบ้านป้าอุ๊เสร็จแล้วค่อยไปงานชุมนุม เมื่อหายเบื่อแล้ว 2-3 ชั่วโมงก็นั่งรถกลับบ้าน
อากงไม่มีพื้นฐานความรู้ทางการเมืองใดๆ เลย อยู่บ้านทีวีเสื้อแดงก็ไม่รู้จัก ไม่เคยเปิดดู หนังสือพิมพ์ก็ไม่อ่าน เพราะสายตาไม่ดี ลำพังแค่เลี้ยงหลานอย่างเดียวก็หมดเวลาแล้ว ดังนั้น เวลาพวกผมคุยกันเรื่องการเมืองแกจะตั้งใจฟัง แล้วมีคำถามมาถามเราอยู่บ่อยๆ
ที่น่าสนใจคือ กับข้อหาที่แกโดนข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กับการกระทำโดยธรรมชาติของแกมันขัดแย้งกันมาก เช่น แกจะยกมือไหว้พระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงที่ตั้งอยู่ที่แดน 8 ทุกครั้งที่เดินผ่าน ผมแน่ใจว่าแกทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ อีกทั้งเรื่องที่อากงเล่าให้ฟังว่า แกพาหลานๆ ของแกไปลงนามถวายพระพรในหลวงที่ศิริราชอยู่หลายครั้ง เวลาไปช็อปปิ้งกับหลานๆ แล้วเห็นโต๊ะที่เปิดให้มีการลงนามถวายพระพร ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ อากงจะชวนหลานๆ ร่วมลงนามถวายพระพรทุกครั้ง ผมจึงแทบไม่เชื่อว่าชราคนนี้จะถูกกล่าวหาไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน
บุคลิกลักษณะภายนอกของอากง ใครเห็นก็จะรู้ว่าเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ยิ้มเก่งไหว้เก่ง และที่ชัดที่สุดคือ ร้องไห้เก่ง โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าอากงเป็นคนอ่อนแอทางจิตใจมากคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่แกถูกจับเข้ามาอยู่ในคุก แกยิ่งแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจน ช่วงแรกที่อากงถูกจับเข้ามาและได้รับการประกันตัวออกไป แตกต่างจากครั้งที่แกถูกจับเข้ามาอีกครั้งมากในเรื่องกำลังใจ ผมว่าแกโชคดีที่มีพวกเราหลายคนคอยให้กำลังใจแกอยู่ตลอดเวลา นอกจากคนที่โดนคดีเสื้อแดงแล้วอากงยังได้รับความรักและเขาใจจากผู้ต้องขังอื่นๆ ด้วย เป็นเรื่องจริงที่ผมมักจะบอกกับอากงว่า แกเหมือนเป็นพวกแบตเตอรี่เสื่อม เวลาห่อเหี่ยว ท้อแท้ เราคุยให้กำลังใจแก แกก็จะกลับมายิ้ม และชูกำปั้น “สู้” ได้อีกครั้ง แต่พอผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงแกก็จะนั่งหน้าเศร้าอีก เราเลยต้องชาร์จกันใหม่ๆ เรื่อยๆ ผลัดกัน ช่วยกันไป พวกเราต่างคิดว่าอากงเป็นญาติพี่น้องของเราจริงๆ ดังนั้น เราจึงดูแลกันด้วยดีตลอดมา
อากงจึงอยู่ในคุกได้ด้วยกำลังใจล้วนๆ กำลังใจหลักคือมาจากป้าอุ๊ รองลงมาคือจากพวกเรา เพื่อนๆ ที่อยู่ร่วมแดนกันและกำลังใจจากมวลชนที่แวะเวียนมาให้กำลังใจ นึกไม่ออกเลยว่า 4 วัน 4 คืนในโรงพยาบาลราชทัณฑ์ที่ขาดซึ่งกำลังใจใดๆ เลย อากงจะทนทุกข์ทรมานมากเพียงใด และเป็นไปได้หรือเปล่าที่สาเหตุของการจากไปอย่างกะทันหันของแก ส่วนหนึ่งมาจากการขาดกำลังใจ......
ความอยุติธรรมของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์บางคนที่มอบให้กับอากง
โดยอ้างว่าตัวเอง “รักเจ้า”

ผมคิดอยู่หลายรอบว่าจะเขียนเรื่องนี้ดีหรือเปล่า ท้ายสุดก็คิดว่าควรต้องเขียน เพราะมันคือความจริงที่เกิดขึ้นกับอากง จากการตั้งใจกลั่นแกล้งของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์บางคนในช่วงที่ข้อหาล้มเจ้าของคนเสื้อแดงกำลังถูกโหมโรงจากสื่อกระแสนหลักอย่างกว้างขวาง ผู้ต้องหาคดีหมิ่นฯ หลายคนจึงตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน คือการโดนข่มขู่ ทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ และถูกกลั่นแกล้งต่างๆ นานา ไม่ยกเว้นชายชราหรือ “อากง” คนนั้น ซึ่งผมและสุริยันต์ คือหนึ่งในนั้นตามข่าวที่ปรากฏไปบ้างแล้วจากสื่อทางเลือก เรื่องนี้ผมจึงคิดว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่คนภายนอกจะได้รู้ว่าอากงโดนปฏิบัติอย่างไรบ้าง (ผมขอรับผิดชอบในสิ่งที่ผมเขียนทุกคำ พร้อมให้ตรวจสอบ)
แต่ก่อนอื่นผมต้องขอออกตัวก่อนว่า ปัจจุบันแดน 8 เป็นแดนที่ดีที่สุด แตกต่างจากแต่ก่อนฟ้ากับเหว เพราะได้มีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าฝ่ายคนใหม่ที่เป็นนักพัฒนาที่มีความเป็นกลาง มีความยุติธรรมกว่าคนเดิมที่ผมจะเล่าถึงการกระทำของเขาที่กระทำต่ออากง ซึ่งมีเรื่องราวดังนี้
อากงถูกจำแนกเข้ามาที่แดน 8 ภายหลังที่ผมและสุริยันต์โดนทำร้ายร่างกายด้วยความตั้งใจของหัวหน้าฝ่ายคนเก่าไปแล้ว และนอกจากผู้ต้องขังคดีหมิ่นฯ จะโดนทำร้ายแล้ว ผู้ต้องหาคดีเสื้อแดงที่ตอนนั้นถูกจับเข้ามา ถ้าถูกจำแนกมาแดน 8 ก็จะโดนเก็บยอดทุกคนโดยการตบต่อยที่ใบหน้า ร่างกาย จากนักโทษที่ได้รับสัญญาณมา และถูกด่าอย่างหยาบคายว่าเป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง แต่อากงโชคดีที่เป็นคนแก่จึงได้รับการยกเว้น ไม่ถูกประทุษร้ายทางร่างกาย แต่ถูกกลั่นแกล้งให้ทำงานอย่างหนักแทน
ด้วยภาพของอากงและวัยที่มากแล้ว โดยมนุษยธรรมและความเมตตา ควรได้รับการยกเว้นให้ทำงานอย่างคนหนุ่มเขาทำกัน แต่อากงคือผู้ที่ถูกเลือกด้วยความตั้งใจให้มาอยู่แดน 8 ของหัวหน้าฝ่ายคนก่อน (ที่ปัจจุบันย้ายไปประจำอยู่ใต้ถุนศาลรัชดา) เพื่อสะดวกในการทำอะไรบางอย่าง
วันแรกที่เข้ามาอากงถูกสั่งให้เข้าไปอยู่ในกองงานปั่นถ้วย และรับยอดเติมในทันที คือวันละ 5 กิโล หรือ 2,500 ใบ อากงทำไม่ได้แน่นอน แต่ก็ถูกบังคับให้ทำ จนผู้ต้องขังด้วยกันทนไม่ได้ต่างเข้ามาช่วยแบ่งงานอากงไปทำ คนละนิดคนละหน่อยจนเสร็จ อากงต้องทำงานอย่างนี้มาโดยตลอดจนกระทั่งประกันตัวออกไปในครั้งแรก
อากงกลับเข้ามาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หัวหน้าฝ่ายคนนี้คงเข็ดที่จะเอาคดี 112 มาไว้อีก อากงจึงถูกจำแนกไปแดน 3 โดยหวังว่าจะแยกผมออกจากอากง ปรากฏว่าด้วยความเหลือจากผู้ใหญ่ข้างนอกโดยผ่านคุณอานนท์ จึงทำให้อากงถูกย้ายมาอยู่แดน  8 กับผมอีกครั้ง ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับหัวหน้าฝ่ายคนนี้อย่างมาก อากงจึงถูกคำสั่งให้ไปปั่นถ้วยอีก แล้วครั้งนี้ก็เหมือนเดิม ผู้ต้องขังก็ช่วยเหลืออากงเหมือนเดิม เพราะทนเห็นการถูกกลั่นแกล้งของหัวหน้าฝ่ายไม่ได้ ท้ายสุดแล้ว ด้วยความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่โดยผ่านคุณอานนท์เช่นเดิม จึงมีคำสั่งสายฟ้าแลบให้ย้ายอากงมาอยู่กองงานห้องสมุด โดยไม่ต้องให้แกทำอะไรเลย งานนี้ทำให้หัวหน้าฝ่ายคนนี้เสียหน้าอย่างมากทีเดียว เพราะไม่สามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจอีกแล้วกับคนเสื้อแดง
หากการเสียชีวิตของอากง เลขาอภิสิทธิ์ ผู้พิพากษา ตำรวจผู้จับกุม ควรต้องรับผิดชอบแล้ว หัวหน้าฝ่ายควบคุมแดน 8 คนนี้ (ที่ไม่ใช่คนปัจจุบัน) ก็ควรต้องถูกประณามด้วยเช่นกัน
สุดท้ายนี้ ผมขอไว้อาลัยกับการจากไปของเพื่อนต่างวันของผมคนนี้ที่ผมรักและห่วงใยเสมือนญาติแท้ๆ ของผมคนหนึ่ง แน่นอนการจากไปของเขาจะต้องไม่เสียเปล่า ขอให้อากงหรืออาเจ็กที่ผมเรียก อย่าได้เป็นห่วงผมและเพื่อนๆ ทุกคนจะทำหน้าที่แทนอาเจ็กเองในการดูแลป้าอุ๊และหลานๆ ที่น่ารักของอาเจ็กให้มีความสุขตลอดไป และหากชาติหน้ามีจริงขอให้เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง...ผมรักเจ็กนะครับ!! ขอให้เจ็กหลับให้สบายและอย่าได้กังวลอะไรอีกเลย.


 



------------------------------------

ผู้เขียน: (ผู้เขียนขอสงวนชื่อนามสกุล)
เผยแพร่ครั้งแรก : เฟซบุ๊คของ Nithiwat Wannasiri

กระผม อดีตนักโทษชายเรือนจำพิเศษกรุงเทพ เป็นผู้หนึ่งซึ่งได้ร่วมชะตากรรมกับอากง ในเวลาที่ผมใช้ชีวิตในนั้น ได้เห็นการให้การรักษาพยาบาลในเรือนจำ ซึ่งจะมียาวิเศษอยู่หนึ่งตัว ชื่อ พาราเซตาม่อน ซึ่งยาขนานนี้ใช้รักษาโรคได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น ปวดท้อง ท้องเสีย หรือแม้กระทั่งเบาหวานหรือโรคหัวใจ
ซึ่งหลังจากขึ้นเรือนนอนแล้ว ถ้านักโทษเจ็บป่วย อาการหนัก รับรองได้ว่า รุ่งเช้าจะได้ยินเสียง"ประกาศปล่อยตัว"อย่างเช่นอากงแน่นอน ซึ่งการปล่อยตัวจะเป็นไปอย่างพิเศษมากๆ คือคุณไม่ต้องเดิน แต่ต้องลอยตามกลิ่นธูปออกมา
ในช่วงที่กระผมได้อยู่ในเรือนจำนั้น เคยมีนักโทษสูงอายุ น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับอากง แกเป็นคนใต้ แกป่วยอยู่หลายโรค ซึ่งหลังจากขึ้นเรือนนอนแล้ว ประมาณสองทุ่มกว่าๆ ได้มีเสียงเคาะ ซึ่งเป็นสัญญาณว่ามีคนป่วยอยู่ในห้อง ซึ่งอาการของลุงคนนั้น ผมไม่แน่ใจว่าเป็นโรคหอบหืดหรือว่าโรคหัวใจ ซึ่งกว่าที่ผู้คุมจะขึ้นมาก็ประมาณ 10 นาที และก็ให้ยาพาราเป็นขั้นแรก หรือว่าก็ให้รอหมอแป๊บหนึ่ง ก็ประมาณ 30 - 60 นาที แต่พอหมอมาถึง คุณลุงคนนั้นก็ได้เสียชีวิตแล้ว แต่ผมไม่แน่ใจ ว่าเป็นผู้คุมหรือหมอ ที่ออกปากถามว่า ตายหรือยัง ทั้งๆที่ยังไม่ถึงประตูห้อง
คุณลุงคนนี้ถูกขังอยู่ที่ห้อง 10 ซึ่งห้อง 10 จะอยู่ชั้น 2 แต่ผมอยู่ชั้น 3 จึงมองไม่เห็น ซึ่งห้องเบอร์ 10 นี้ คุณก่อแก้ว และคุณขวัญชัย ก็เคยอยู่ ถ้าคิดจะออกไปพบหมอ ถ้าเป็นชาวต่างด้าว หรือบุคคลไร้ญาติ ก็ยากหน่อย ก็จะได้คำตอบว่า "กินพารา เดี๋ยวก็หาย" เมื่อมาถึงหมอ ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง คือ ถ้าคุณไม่ได้ถูกหามออกมาในสภาพหมดสติ ก็หมดสิทธิที่จะนอนรอดูอาการ ก็ต้องกลับไปนอนซมอยู่ในแดนตามเดิม
นี่หรือ ที่คุณบอกว่ามาตรฐานไม่ต่างกัน...?

วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เศรษฐกิจ

"ปู" นั่งเป็นประธานประชุม กพช.ถกวาระสำคัญไฟเขียวแผนพีดีพี 2010 เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าอีก 55,065 เมกะวัตต์ พร้อมเห็นชอบตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2 แห่ง จากเดิม 4 แห่ง และพิจารณาแผนสำรองน้ำมันในไทย...

วันที่ 8 มิ.ย.2555 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช.โดยมีวาระพิจารณาสำคัญ 4 เรื่องหลัก คือ เรื่องแรกจะเป็นการขอความเห็นชอบแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ.2555-2573 หรือพีดีพี 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3 ซึ่งกำหนดให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่เข้าระบบเพิ่มอีก 55,065 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ จะให้ที่ประชุม กพช.เห็นชอบกำหนดให้มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในแผนพีดีพีต่อไป แต่จะลดจำนวนลงเหลือ 2 แห่ง กำลังการผลิต 2,000 เมกะวัตต์ จากเดิมกำหนดไว้ 4 แห่ง กำลังการผลิต 4,000 เมกะวัตต์

เรื่องที่ 2 วาระแผนยุทธศาสตร์สำรองน้ำมันของประเทศไทยในระยะยาว ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน หรือ สนพ.จะเสนอผลการศึกษา โดยนำตัวอย่างแผนการสำรองน้ำมันของประเทศญี่ปุ่นมาเป็นต้นแบบการสำรอง ในเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศไทย จะกำหนดให้ต้องมีการสำรองน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปให้นำมาใช้ได้ทันทีหากฉุกเฉิน โดยจะเพิ่มสำรองน้ำมันของประเทศเป็น 90 วัน จากปัจจุบัน 60 วัน ซึ่งจะกำหนดให้ได้ว่าระหว่างรัฐกับเอกชนจะมีสัดส่วนการสำรองน้ำมันเป็นเท่าใด

ส่วนเรื่องที่ 3 จะขอความเห็นชอบในหลักการให้บริษัท ปตท.เป็นผู้ลงทุนการจัดหาและการให้บริการก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ในทุกกลุ่มผู้ใช้ วงเงินรวม 4.85 หมื่นล้านบาท และเรื่องสุดท้ายจะขอความเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ.ลงนามในการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศลาว โครงการเซเบียนและเซน้ำน้อย แขวงจำปาสัก รับซื้อ 390 เมกะวัตต์

ด้านนายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชีี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวเห็นด้วยกับแผนพีดีพี 2010 เนื่องจากเป็นการกระจายแหล่งเชื้อเพลิงอย่างเหมาะสม และเพิ่มปริมาณแหล่งไฟฟ้าให้เพิ่มมากขึ้น เพราะถ้าไม่เร่งดำเนินการ จะไม่สามารถแก้ปัญหาไฟฟ้าตกได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านั้น น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม.ในฐานะประธานอนุกรรมาธิการธรรมาภิบาลด้านพลังงาน วุฒิสภา ได้แถลงคัดค้านแผนพีดีพีดังกล่าว เพราะขัดกับมติคณะรัฐมนตรีที่ให้ประหยัดพลังงาน และจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าต่อหน่วยสูงถึง 4.56 บาท ในปี 2573